วิธีการเลี้ยงกระต่าย
วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556
อาการป่วยของกระต่าย
กระต่ายเครียด
ภาวะเครียดในกระต่ายเป็นภาวะที่พบได้บ่อย โดยที่บางครั้ง
เจ้าของเองยังไม่ทราบมาก่อนเลยว่ากระต่ายของตนเครียดซะแล้ว
ทั้งนี้ภาวะนี้จะส่งผลต่อระบบต่างๆของร่างกาย เช่น หัวใจ การเคลื่อนที่ของลำไส้
และระบบหมุนเวียนโลหิต เป็นต้น ซึ่งขึ้นกับสาเหตุที่มาของความเครียดนั้นๆ
สาเหตุของความเครียด
ความเจ็บปวดรุนแรง หรือความเจ็บป่วย
สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
การขนส่งและการเดินทาง
การจับบังคับ
การถูกรบกวนโดยสัตว์ที่ดุร้าย หรือไม่เป็นมิตร เช่น สุนัข แมว สัตว์นักล่าอื่นๆ เช่น เหยี่ยว และคน
จ่าฝูง หรือกระต่ายที่ไม่ชอบถูกขัง/บังคับ
การขัดขวางกิจกรรมตามธรรมชาติ เช่น การทำรัง การคลอด เป็นต้น
o การเลี้ยงดูที่ไม่ถูกหลัก เช่น ให้อาหารและน้ำอย่างไม่พอเพียง อาหารไฟเบอร์ต่ำ หรือย่อยยาก
อุณหภูมิ และสภาพอากาศ
สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุเบื้องต้นที่กระตุ้นให้กระต่ายของเรามีความเครียดมากขึ้น เมื่อกระต่ายเกิดความเครียดขึ้นแล้ว อาการที่แสดงให้เห็น ขึ้นกับสภาพหรือระบบในร่างกายที่เสียหายจากภาวะนี้ เช่น กระต่ายบางตัวแสดงอาการท้องอืด ลำไส้ไม่ทำงาน ซึม หายใจแรง ไม่ทานอาหาร มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เป็นต้น โดยส่วนมากอาการเริ่มต้นมักจะพบเป็นแบบลำไส้ไม่ทำงาน กระต่ายเริ่มไม่กินอาหาร กัดฟัน ตามมาด้วยอาการถ่ายน้อยลง ถ่ายเป็นเมือก แย่ลง นอนไม่มีแรง
โดยปกติแล้วเมื่อเกิดความเครียดขึ้น ร่างกายของกระต่ายจะหลั่งสารที่เรียกว่า Catecholamine ซึ่งสารนี้จะส่งผลเสียต่อระบบต่างๆของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย และเสียชีวิตในเวลาต่อมา มีงานวิจัยพบว่าความเครียดที่เกิดจากการเลี้ยงกระต่ายจำนวนมากเกินไป แออัด ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจกระต่ายเกิดปัญหาขึ้น
นอกจากหัวใจแล้ว Catecholamine ยังส่งผลกระทบต่อลำไส้ด้วยเช่นกัน คือ สารนี้จะยั้บยังการเคลื่อนที่ของลำไส้ เมื่อลำไส้ทำงานลดลง จนไม่มีการเคลื่อนที่ จุลินทรีย์ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยอาหารภายในลำไส้เกิดเสียสมดุลย์ จุลินทรีย์บางชนิดตาย หรือเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ ซึ่งแบคทีเรียที่ตายจะหลั่งสารพิษบางชนิด และเกิดแก๊สสะสมหรือภาวะ Gut stasisในที่สุด อีกทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรด และกลายเป็นแผลหลุมในกระเพาะ Catecholamine ยังมีผลต่อการเผาผลาญ และการผลิตพลังงานในร่างกายด้วย สามารถพบภาวะตับอ่อนอักเสบได้ ซึ่งอาจรุนแรงจนเสียชีวิต นอกจากจะส่งผลต่อตับอ่อนแล้ว ผลทางอ้อมของภาวะนี้ยังทำให้การไหลเวียนเลือดผิดปกติ ทำให้การกรองเลือดที่ไตช้าลง ของเสียภายในร่างกายจึงสะสมมากขึ้นและทำให้เกิดไตวายตามมา
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ผู้อ่านอาจคิดว่า แย่แล้วกระต่ายเครียดต้องแย่แน่ๆ ตายแน่ๆ แต่ขอบอกให้ใจเย็นไว้ก่อน ความรุนแรงต่างๆที่กล่าวมายังกับระยะเวลาที่เป็นด้วย ถ้าเจ้าของสังเกตเห็นอาการเร็ว แล้วแก้ไขสาเหตุหรือบรรเทาความเครียดนั้นๆ กระต่ายน้อยของเราก็จะกลับมาปกติได้เร็วขึ้น
เมื่อพากระต่ายมาพบหมอ อันดับแรกหมอคงต้องหาสาเหตุของความเครียดนั้นๆก่อน ซึ่งได้จากประวัติการเลี้ยงและการดูแล ชนิดอาหาร การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบ้านของเจ้าของ แล้วค่อยปรับแก้ไขตามสภาพอาการและสาเหตุ
สำหรับวิธีในการลดความเครียดนั้นสามารถทำได้ หากมีสาเหตุมาจากความเจ็บปวด จะใช้ยาแก้ปวดและให้กระต่ายอยู่ในที่เงียบๆ ห่างจากเสียงดัง และจับบังคับกระต่ายอย่างนิ่มนวลก็ช่วยได้มาก หรืออาจให้ยาซึมหรือยานอนหลับ ทั้งนี้ต้องอยู่ในความดูแลของสัตวแพทย์ด้วย
ถ้ากระต่ายเพิ่งผ่าตัดมา อาจใช้ผ้าที่เคยนอนประจำ หรือฟางปูเป็นที่รองนอนระยะหนึ่ง เพื่อให้มีกลิ่นที่กระต่ายคุ้นเคยดีทำให้รู้สึกปลอดภัย นอกจากนั้นแล้วให้หลีกเลี่ยงอุปกรณ์ที่จะส่งผลให้กระต่ายเครียด เช่น ปลอกคอกันแทะ (Collar) ในกรณีที่เกิดภาวะท้องอืดหรือกระต่ายป่วยมาก การรักษาจะเป็นไปตามอาการของภาวะนั้นๆ เช่น ให้น้ำเกลือต่อเนื่องจนกว่าอาการจะดีขึ้นหรืออาจต้องตรวจเลือดเช็คค่าตับ และไต
ภาวะความเครียดที่เกิดขึ้นในกระต่ายเป็นภาวะที่ค่อนข้างร้ายแรง และเมื่อระบบต่างๆของร่ายกายถูกกระทบอย่างรุนแรง การรักษา หรือกู้สภาพให้กลับเป็นปกติจึงทำได้ยากขึ้น เจ้าของจะช่วยชีวิตของกระต่ายได้มากถ้าเจ้าของค่อยสังเกตอาการในระยะเริ่มต้น หรือค่อยสังเกตอาการทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เช่น ย้ายบ้านใหม่ นำกระต่ายใหม่เข้ามาเลี้ยง หลังผ่าตัดใดๆ เพิ่งฟื้นจากยาสลบ เป็นต้น
สาเหตุของความเครียด
ความเจ็บปวดรุนแรง หรือความเจ็บป่วย
สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
การขนส่งและการเดินทาง
การจับบังคับ
การถูกรบกวนโดยสัตว์ที่ดุร้าย หรือไม่เป็นมิตร เช่น สุนัข แมว สัตว์นักล่าอื่นๆ เช่น เหยี่ยว และคน
จ่าฝูง หรือกระต่ายที่ไม่ชอบถูกขัง/บังคับ
การขัดขวางกิจกรรมตามธรรมชาติ เช่น การทำรัง การคลอด เป็นต้น
o การเลี้ยงดูที่ไม่ถูกหลัก เช่น ให้อาหารและน้ำอย่างไม่พอเพียง อาหารไฟเบอร์ต่ำ หรือย่อยยาก
อุณหภูมิ และสภาพอากาศ
สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุเบื้องต้นที่กระตุ้นให้กระต่ายของเรามีความเครียดมากขึ้น เมื่อกระต่ายเกิดความเครียดขึ้นแล้ว อาการที่แสดงให้เห็น ขึ้นกับสภาพหรือระบบในร่างกายที่เสียหายจากภาวะนี้ เช่น กระต่ายบางตัวแสดงอาการท้องอืด ลำไส้ไม่ทำงาน ซึม หายใจแรง ไม่ทานอาหาร มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เป็นต้น โดยส่วนมากอาการเริ่มต้นมักจะพบเป็นแบบลำไส้ไม่ทำงาน กระต่ายเริ่มไม่กินอาหาร กัดฟัน ตามมาด้วยอาการถ่ายน้อยลง ถ่ายเป็นเมือก แย่ลง นอนไม่มีแรง
โดยปกติแล้วเมื่อเกิดความเครียดขึ้น ร่างกายของกระต่ายจะหลั่งสารที่เรียกว่า Catecholamine ซึ่งสารนี้จะส่งผลเสียต่อระบบต่างๆของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย และเสียชีวิตในเวลาต่อมา มีงานวิจัยพบว่าความเครียดที่เกิดจากการเลี้ยงกระต่ายจำนวนมากเกินไป แออัด ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจกระต่ายเกิดปัญหาขึ้น
นอกจากหัวใจแล้ว Catecholamine ยังส่งผลกระทบต่อลำไส้ด้วยเช่นกัน คือ สารนี้จะยั้บยังการเคลื่อนที่ของลำไส้ เมื่อลำไส้ทำงานลดลง จนไม่มีการเคลื่อนที่ จุลินทรีย์ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยอาหารภายในลำไส้เกิดเสียสมดุลย์ จุลินทรีย์บางชนิดตาย หรือเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ ซึ่งแบคทีเรียที่ตายจะหลั่งสารพิษบางชนิด และเกิดแก๊สสะสมหรือภาวะ Gut stasisในที่สุด อีกทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรด และกลายเป็นแผลหลุมในกระเพาะ Catecholamine ยังมีผลต่อการเผาผลาญ และการผลิตพลังงานในร่างกายด้วย สามารถพบภาวะตับอ่อนอักเสบได้ ซึ่งอาจรุนแรงจนเสียชีวิต นอกจากจะส่งผลต่อตับอ่อนแล้ว ผลทางอ้อมของภาวะนี้ยังทำให้การไหลเวียนเลือดผิดปกติ ทำให้การกรองเลือดที่ไตช้าลง ของเสียภายในร่างกายจึงสะสมมากขึ้นและทำให้เกิดไตวายตามมา
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ผู้อ่านอาจคิดว่า แย่แล้วกระต่ายเครียดต้องแย่แน่ๆ ตายแน่ๆ แต่ขอบอกให้ใจเย็นไว้ก่อน ความรุนแรงต่างๆที่กล่าวมายังกับระยะเวลาที่เป็นด้วย ถ้าเจ้าของสังเกตเห็นอาการเร็ว แล้วแก้ไขสาเหตุหรือบรรเทาความเครียดนั้นๆ กระต่ายน้อยของเราก็จะกลับมาปกติได้เร็วขึ้น
เมื่อพากระต่ายมาพบหมอ อันดับแรกหมอคงต้องหาสาเหตุของความเครียดนั้นๆก่อน ซึ่งได้จากประวัติการเลี้ยงและการดูแล ชนิดอาหาร การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบ้านของเจ้าของ แล้วค่อยปรับแก้ไขตามสภาพอาการและสาเหตุ
สำหรับวิธีในการลดความเครียดนั้นสามารถทำได้ หากมีสาเหตุมาจากความเจ็บปวด จะใช้ยาแก้ปวดและให้กระต่ายอยู่ในที่เงียบๆ ห่างจากเสียงดัง และจับบังคับกระต่ายอย่างนิ่มนวลก็ช่วยได้มาก หรืออาจให้ยาซึมหรือยานอนหลับ ทั้งนี้ต้องอยู่ในความดูแลของสัตวแพทย์ด้วย
ถ้ากระต่ายเพิ่งผ่าตัดมา อาจใช้ผ้าที่เคยนอนประจำ หรือฟางปูเป็นที่รองนอนระยะหนึ่ง เพื่อให้มีกลิ่นที่กระต่ายคุ้นเคยดีทำให้รู้สึกปลอดภัย นอกจากนั้นแล้วให้หลีกเลี่ยงอุปกรณ์ที่จะส่งผลให้กระต่ายเครียด เช่น ปลอกคอกันแทะ (Collar) ในกรณีที่เกิดภาวะท้องอืดหรือกระต่ายป่วยมาก การรักษาจะเป็นไปตามอาการของภาวะนั้นๆ เช่น ให้น้ำเกลือต่อเนื่องจนกว่าอาการจะดีขึ้นหรืออาจต้องตรวจเลือดเช็คค่าตับ และไต
ภาวะความเครียดที่เกิดขึ้นในกระต่ายเป็นภาวะที่ค่อนข้างร้ายแรง และเมื่อระบบต่างๆของร่ายกายถูกกระทบอย่างรุนแรง การรักษา หรือกู้สภาพให้กลับเป็นปกติจึงทำได้ยากขึ้น เจ้าของจะช่วยชีวิตของกระต่ายได้มากถ้าเจ้าของค่อยสังเกตอาการในระยะเริ่มต้น หรือค่อยสังเกตอาการทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เช่น ย้ายบ้านใหม่ นำกระต่ายใหม่เข้ามาเลี้ยง หลังผ่าตัดใดๆ เพิ่งฟื้นจากยาสลบ เป็นต้น
กระต่ายเป็นหวัด
ชื้อโรคตัวดี
ที่ทำให้น้องต่ายเป็นหวัด
หวัดในกระต่าย จะไม่เหมือนกับในคนค่ะ ตรงที่ หวัดในคนเกิดจาก เชื้อไวรัส แต่ว่า หวัดในกระต่ายนั้น จะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียค่ะ โดยส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากเชื้อที่มีชื่อว่า Pasteurella multocida และบางทีก็จะเกิดได้จากเชื้ออีก 2 ตัว ค่ะ คือ Bordetella และก็ Staphylococcus
สาเหตุที่ทำให้กระต่ายเป็นหวัด
1. เกิดจากไม่ทำความสะอาดที่อยู่ของกระต่ายบ่อยพอ ทำให้เกิดการหมักหมม ของเชื้อโรค
2. เกิดจากที่อยู่มีอากาศถ่ายเทไม่ดีพอ
3. เกิดจากกระต่ายเอง ไม่แข็งแรง ต้านทานโรคได้ไม่ค่อยดี
4. เกิดจากการเลี้ยงดูด้วยอาหารที่ไม่เหมาะสม ทำให้กระต่ายมีสุขภาพไม่แข็งแรงพอ
5. เกิดจากอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไปมา หรือโดนแดดฝน
6. ความเครียด ส่งผลให้กระต่ายป่วยได้เช่นกัน
อาการของโรคหวัดกระต่าย
กระต่ายจะมีอาการน้ำมูกไหล และ จาม แต่บางทีคนมักจะสับสนกับอาการที่อาจจะเกิดจากฝุ่น หรือ น้ำเข้าจมูก ดังนั้นเมื่อกระต่ายมีอาการจามเหมือนคน หรือมีน้ำมูกไหล วิธีตรวจง่ายๆ ว่าเป็นหวัดหรือไม่ โดย ให้ลองตรวจที่เท้าหน้าของกระต่าย ถ้าหากพบว่า ขนติดกัน หรือ บริเวณนั้นเปียก แล้วล่ะก็ เดาได้เลยค่ะ ว่าเป็นหวัด เพราะว่ากระต่ายจะใช้เท้าหน้าในการถูจมูกน้ำมูกค่ะ ตอนแรกน้ำมูกจะใสก่อน ต่อมาจะขุ่น และหากไม่ได้รับการรักษา อาการจะลุกลามไปกลายเป็น ปอดอักเสบ และเสียชีวิตในที่สุด
ทำอย่างไร เมื่อกระต่ายเป็นหวัด
1.ควรจะรีบแยกกระต่ายที่ป่วยออกจากตัวอื่น โดยเร็วที่สุด อีกอย่างโรคนี้ติดต่อในกระต่ายด้วยกันได้เร็ว และแพร่กระจายไปทั่ว
2. ควรย้ายกระต่ายที่ป่วยไปอยู่ที่กรงใหม่ และ นำกรงเดิมควรจะเอาไปตากแดด เพื่อฆ่าเชื้อโรค
3. ควรทำความสะอาดกระบอกน้ำ และถาดอาหารใหม่หมด
4. ควรปรับสภาพอาหารให้ถูกสุขลักษณะขึ้น โดยการ เสริมหญ้าอย่างไม่จำกัด
5. เสริมวิตามินซี และ มัลติวิตามิน เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานให้กระต่าย
6. อาการหวัดในกระต่ายจะรักษายาก และค่อนข้างเรื้อรัง ควรจะรีบรักษาโดยเร็วที่สุดค่ะ
7. หมั่นทำความสะอาดกรงบ่อยๆ เพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมม ซึ่งจะทำให้เกิดก๊าซแอมโมเนีย
ซึ่งจะระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ
8. ย้ายกระต่ายไปไว้ในที่ๆ อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่อับชื้น
9. หากเดิมให้กระต่ายกินน้ำจากภาชนะ ควรจะเปลี่ยนเป็นใช้กระบอกน้ำจะดีกว่า เพื่อให้กระต่ายได้กิน น้ำที่สะอาด และไม่หกเลอะเทอะ
10. พาไปหาหมอโดยด่วนที่สุด หากปล่อยนานไป จะเป็นปอดอักเสบและอันตรายมาก ไม่ควรรักษาเอง เพราะกระต่ายควรได้รับการตรวจว่าเป็นหวัดจากเชื้อตัวไหน เนื่องจากเชื้อแต่ละตัว มีปฎิกิริยา ต่อยาปฏิชีวนะไม่เท่ากัน เราไม่ควรจะให้ยาเอง เพราะว่า กระต่ายแพ้ยาหลายชนิด และกระต่ายตัวเล็ก ยากแก่การคำนวณ เราอาจจะให้ยาเกินขนาด และเป็นอันตรายแก่กระต่ายได้
แล้วปอดอักเสบเป็นยังไง
หากอาการหวัดไม่ได้รับการรักษา หรือ รักษาไม่ดีพอ กระต่ายจะเป็นปอดอักเสบ และ มักจะตายในระยะนี้ โรคปอดอักเสบนี้จะมีอาการอักเสบของเนื้อเยื่อปอด ทำให้ เลือดได้รับ ออกซิเจนลดลง และทำให้น้ำหนักลด และ ขนจะหยาบขึ้น กระต่ายอาจมีอาการหัวเอียงไปข้างหลัง หรืออ้าปากหายใจแรง
กันไว้ดีกว่าแก้
เนื่องจากหวัดและปอดอักเสบ รักษายาก เราจึงควรป้องกัน ปอดอักเสบ และหวัด โดย
1. ทำความสะอาดกรงให้บ่อย เพื่อขจัดและป้องกันแบคทีเรียไม่ให้สะสมอยู่ในกรง
2. ระวังอย่าให้กระต่ายเปียก โดนฝน หรือ อากาศหนาว หากเลี้ยงไว้นอกบ้านที่ลมโกรกมากเกินไป อาจจะหาผ้าโปร่งมาคลุมกรงก็ได้
3. พยายามวางกรงในที่ๆ อากาศถ่ายเท เหมาะสม ไม่อับชื้น
4. ใช้กระบอกน้ำ เพื่อให้กระต่ายได้กินน้ำสะอาด และไม่มีน้ำหกเลอะเทอะให้กรงชื้นแฉะ
5. หมั่นตรวจสุขภาพกระต่ายบ่อยๆ หากผิดปกติควรรีบพาไปหาหมอโดยเร็วที่สุด
หวัดในกระต่าย จะไม่เหมือนกับในคนค่ะ ตรงที่ หวัดในคนเกิดจาก เชื้อไวรัส แต่ว่า หวัดในกระต่ายนั้น จะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียค่ะ โดยส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากเชื้อที่มีชื่อว่า Pasteurella multocida และบางทีก็จะเกิดได้จากเชื้ออีก 2 ตัว ค่ะ คือ Bordetella และก็ Staphylococcus
สาเหตุที่ทำให้กระต่ายเป็นหวัด
1. เกิดจากไม่ทำความสะอาดที่อยู่ของกระต่ายบ่อยพอ ทำให้เกิดการหมักหมม ของเชื้อโรค
2. เกิดจากที่อยู่มีอากาศถ่ายเทไม่ดีพอ
3. เกิดจากกระต่ายเอง ไม่แข็งแรง ต้านทานโรคได้ไม่ค่อยดี
4. เกิดจากการเลี้ยงดูด้วยอาหารที่ไม่เหมาะสม ทำให้กระต่ายมีสุขภาพไม่แข็งแรงพอ
5. เกิดจากอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไปมา หรือโดนแดดฝน
6. ความเครียด ส่งผลให้กระต่ายป่วยได้เช่นกัน
อาการของโรคหวัดกระต่าย
กระต่ายจะมีอาการน้ำมูกไหล และ จาม แต่บางทีคนมักจะสับสนกับอาการที่อาจจะเกิดจากฝุ่น หรือ น้ำเข้าจมูก ดังนั้นเมื่อกระต่ายมีอาการจามเหมือนคน หรือมีน้ำมูกไหล วิธีตรวจง่ายๆ ว่าเป็นหวัดหรือไม่ โดย ให้ลองตรวจที่เท้าหน้าของกระต่าย ถ้าหากพบว่า ขนติดกัน หรือ บริเวณนั้นเปียก แล้วล่ะก็ เดาได้เลยค่ะ ว่าเป็นหวัด เพราะว่ากระต่ายจะใช้เท้าหน้าในการถูจมูกน้ำมูกค่ะ ตอนแรกน้ำมูกจะใสก่อน ต่อมาจะขุ่น และหากไม่ได้รับการรักษา อาการจะลุกลามไปกลายเป็น ปอดอักเสบ และเสียชีวิตในที่สุด
ทำอย่างไร เมื่อกระต่ายเป็นหวัด
1.ควรจะรีบแยกกระต่ายที่ป่วยออกจากตัวอื่น โดยเร็วที่สุด อีกอย่างโรคนี้ติดต่อในกระต่ายด้วยกันได้เร็ว และแพร่กระจายไปทั่ว
2. ควรย้ายกระต่ายที่ป่วยไปอยู่ที่กรงใหม่ และ นำกรงเดิมควรจะเอาไปตากแดด เพื่อฆ่าเชื้อโรค
3. ควรทำความสะอาดกระบอกน้ำ และถาดอาหารใหม่หมด
4. ควรปรับสภาพอาหารให้ถูกสุขลักษณะขึ้น โดยการ เสริมหญ้าอย่างไม่จำกัด
5. เสริมวิตามินซี และ มัลติวิตามิน เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานให้กระต่าย
6. อาการหวัดในกระต่ายจะรักษายาก และค่อนข้างเรื้อรัง ควรจะรีบรักษาโดยเร็วที่สุดค่ะ
7. หมั่นทำความสะอาดกรงบ่อยๆ เพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมม ซึ่งจะทำให้เกิดก๊าซแอมโมเนีย
ซึ่งจะระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ
8. ย้ายกระต่ายไปไว้ในที่ๆ อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่อับชื้น
9. หากเดิมให้กระต่ายกินน้ำจากภาชนะ ควรจะเปลี่ยนเป็นใช้กระบอกน้ำจะดีกว่า เพื่อให้กระต่ายได้กิน น้ำที่สะอาด และไม่หกเลอะเทอะ
10. พาไปหาหมอโดยด่วนที่สุด หากปล่อยนานไป จะเป็นปอดอักเสบและอันตรายมาก ไม่ควรรักษาเอง เพราะกระต่ายควรได้รับการตรวจว่าเป็นหวัดจากเชื้อตัวไหน เนื่องจากเชื้อแต่ละตัว มีปฎิกิริยา ต่อยาปฏิชีวนะไม่เท่ากัน เราไม่ควรจะให้ยาเอง เพราะว่า กระต่ายแพ้ยาหลายชนิด และกระต่ายตัวเล็ก ยากแก่การคำนวณ เราอาจจะให้ยาเกินขนาด และเป็นอันตรายแก่กระต่ายได้
แล้วปอดอักเสบเป็นยังไง
หากอาการหวัดไม่ได้รับการรักษา หรือ รักษาไม่ดีพอ กระต่ายจะเป็นปอดอักเสบ และ มักจะตายในระยะนี้ โรคปอดอักเสบนี้จะมีอาการอักเสบของเนื้อเยื่อปอด ทำให้ เลือดได้รับ ออกซิเจนลดลง และทำให้น้ำหนักลด และ ขนจะหยาบขึ้น กระต่ายอาจมีอาการหัวเอียงไปข้างหลัง หรืออ้าปากหายใจแรง
กันไว้ดีกว่าแก้
เนื่องจากหวัดและปอดอักเสบ รักษายาก เราจึงควรป้องกัน ปอดอักเสบ และหวัด โดย
1. ทำความสะอาดกรงให้บ่อย เพื่อขจัดและป้องกันแบคทีเรียไม่ให้สะสมอยู่ในกรง
2. ระวังอย่าให้กระต่ายเปียก โดนฝน หรือ อากาศหนาว หากเลี้ยงไว้นอกบ้านที่ลมโกรกมากเกินไป อาจจะหาผ้าโปร่งมาคลุมกรงก็ได้
3. พยายามวางกรงในที่ๆ อากาศถ่ายเท เหมาะสม ไม่อับชื้น
4. ใช้กระบอกน้ำ เพื่อให้กระต่ายได้กินน้ำสะอาด และไม่มีน้ำหกเลอะเทอะให้กรงชื้นแฉะ
5. หมั่นตรวจสุขภาพกระต่ายบ่อยๆ หากผิดปกติควรรีบพาไปหาหมอโดยเร็วที่สุด
โรคท้องอืด
โรคท้องอืด ปัจจัยต้นๆ ที่เขาท้องอืด
ก็เริ่มมาจากผู้เลี้ยงทั้งสิ้น เพราะการเลี้ยงดูที่ผิดลักษณะ
การให้อาหารที่ผิดโภชนาการ
ความเครียด
- ความเชื่อผิดๆ ที่กระต่ายไม่กินน้ำ? มนุษย์ และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกต้องการน้ำ หากผู้เลี้ยงไม่เคยให้น้ำกระต่ายเลย ขอให้รู้ไว้เลยว่า กระต่ายก็ต้องการน้ำสะอาดเพื่อดำรงชีวิตด้วยเหมือนกัน
- อาการป่วย หากกระต่ายของคุณมีอาการป่วย ไม่ว่าจะเป็นหวัด ฟันผุ ขาเจ็บ ทุกๆอย่างที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด ก็ทำให้เขาท้องอืดได้ค่ะ
- สัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าตูบ เจ้าเหมียวที่เราเลี้ยงไว้ สามารถทำให้กระต่ายของเรา รู้สึกว่าเขาตกอยู่ในอันตราย ก็จะเกิดความเครียดได้
- เครียดเมื่อต้องเดินทางไกล เป็นเวลานาน
- สภาพแวดล้อมต่างๆ คนยังรู้สึกเครียดเมื่อถูกเสียงดังรบกวน คนยังรู้สึกเครียดเมื่อพบเจอกับอากาศร้อน คนรู้สึกเครียดเมื่ออยู่ในห้องที่คับแคบ กระต่ายก็เครียดด้วยเรื่องแบบเดียวกับคนค่ะ
อาหาร
ปีบอกเสมอๆ ว่า กระต่ายเป็นสัตว์กินพืช
อาหารหลักของกระต่ายคือหญ้า การทานอาหารเม็ดมากเกินไป
จะทำให้เขาท้องอืดได้ การที่เขาได้รับ อาหารที่มีแป้ง คาร์โบไฮเดรต โดยที่บริโภค
ไฟเบอร์น้อยกว่าที่ร่างกาย ของเขาต้องการแล้วละก็ ท้องอืดเกิดขึ้นได้เสมอ
- ขนมทุกชนิดของคน
- น้ำอัดลม
- เผลอกินวัตถุที่ย่อยไม่ได้เข้าไป
…
…
ปีขอยกตัวอย่างเพียงแค่นี้ค่ะ เพราะปีคิดว่า
ผู้เลี้ยงย่อมรู้อยู่แก่ใจ บางคนรู้ว่าสิ่งไหนดีกับกระต่าย
เขาก็ให้สิ่งนั้นกับกระต่าย และบางคนรู้ว่าสิ่งไหนไม่ดีกับกระต่าย
แต่เขาก็ยังให้กินเสมอ เพราะเห็นว่ากระต่ายกินอย่างเอร็ดอร่อย
การกินทำให้กระต่ายดูน่าเอ็นดู กระต่ายที่คุณเลี้ยง เขาไม่รู้หรอกค่ะว่า
อาหารที่คุณให้เขา มีประโยชน์หรือโทษ เพียงเพราะคุณเห็นว่า
เวลาที่คุณให้เขากินแล้วเขาจะวิ่งมาหา คุณก็ให้เขาอีก
“เพื่อแลกกับความรักที่เขามีให้
คุณจะให้เขาเสมอ แต่เขากลับแลกด้วยชีวิตเพื่อคุณ เพราะรู้ว่าคุณจะให้เขาเช่นกัน”
กระต่าย รู้เพียงแค่ว่า อะไรที่เข้าปากเขาได้
เขาก็จะกิน
กระต่าย อะไรที่มีกลิ่นหอม ชวนกิน เขาก็จะกินโดยไม่คิด
กระต่าย อะไรที่มีกลิ่นหอม ชวนกิน เขาก็จะกินโดยไม่คิด
คน รู้เพียงแค่ว่า กระต่ายชอบกิน คนก็ให้กิน
คน รู้เพียงแค่ว่า ไม่ใช่อาหารของกระต่าย แต่คนก็ยังให้กิน
คน รู้เพียงแค่ว่า ไม่ใช่อาหารของกระต่าย แต่คนก็ยังให้กิน
อ๊ะๆ อย่าเพิ่งเบื่อเสียก่อน หลายคนคงชอบอ่าน แต่หลายคน
คงไม่ได้อ่าน เพื่อป้องกันการถามอีกว่า เราจะรู้ได้อย่างไร ถ้ากระต่ายท้องอืด
และอาการท้องอืดเป็นอย่างไร มาอ่านกันต่อได้เลยค่ะ
มาสังเกตุกันดีกว่า สัญญาณอันตราย!
- กระต่ายมีเสียงตด! เสียงตดดังโป๊ะ เป็นวันละหลายครั้ง อันนี้ต้องเริ่มคลำท้องดูแล้ว
- กระต่ายของคุณหยุดกินอาหาร กระต่ายเป็นสัตว์กลางคืน ถ้าเห็นกลางวันไม่กินหรือกินน้อย (เวลานอน) อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะมาดูการกินอาหารข้ามคืนดีกว่า
- เมื่อป่วยเขาจะเริ่มคุ้ยอาหาร ไม่ใช่เวลาที่เลือกกินค่ะ เลือกกินเขาจะเลือกเม็ดที่ชอบและกินได้ ถือว่ากินให้ลองสังเกตุ การเลือกกินนั้น คือการไม่กินหรือการคุ้ยอาหารทิ้งค่ะ
- ท้องอืดของกระต่ายก็เหมือนคน ท้องจะแข็ง เพราะมีแก๊สในกระเพาะมากเกินไป ลองเคาะท้องของเขาด้วยนิ้วของเราจะมีเสียงเหมือนของที่ถูกอัดอากาศไว้ภายใน
อาการท้องอืดเป็นอย่างไร?
- กระต่ายของเรา จะไม่ร่าเริง มีอาการซึม นั่งขดตัวอยู่ตามมุมกรง หรือมุมห้อง
- มีการกัดฟัน มีเสียงดัง มีน้ำลายไหลมาจากมุมปากสองข้าง แสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวด
- ก้อนอึเล็กลง อึเริ่มน้อยลง นานๆ จะมีสัก 1 เม็ด จนไม่อึเลย
สิ่งที่ควรทำเมื่อกระต่ายของเราท้องอืด
- ปีไม่ขอนำเสนอวิธีที่จะให้ยาเองใดๆ ทั้งสิ้น เพราะหากการที่ปีแนะนำเหมือนทฤษฎีปฏิบัติของใครแล้วทำให้กระต่ายของคุณเสียชีวิต ปีจะเสียใจมากที่สุด เพราะปีคิดว่า กระต่ายไม่ได้โชคดีจากการได้รับการป้อนยาแล้วหายเป็นปกติทุกตัว
- พบสัตวแพทย์โดยด่วนที่สุดเมื่อทราบอาการ อย่าปล่อยไว้เนิ่นนาน เขาจะได้รับการรักษาที่ถูกต้องและหายเป็นปกติได้ ถ้าเขาได้รับรักษาตอนที่สายเกินไป เมื่ออาการทรุดตัวหนักแล้วสัตวแพทย์จะช่วยชีวิตเขาได้ยากขึ้นค่ะ
เรื่องสุดท้ายที่อยากฝาก ปีเคยพลาดมาแล้ว
เพราะความไม่รู้ เพราะปีมัวรอคำตอบจากผู้รู้ ปีจึงต้องเสียกระต่ายของปีไปอย่างไม่มีวันกลับ
หากวันนี้ถ้าคุณรักเขา อยากให้เขาอยู่กับเรานานๆ “ให้เขาทานขนม น้อยกว่าหญ้านะคะ”
ถ้าไม่อยากให้กระต่ายป่วยคงเป็นไปไม่ได้เพราะกระต่ายของเรา
ไม่ใช่ตุ๊กตา! เพียงแค่ลดโอกาสการเป็นโรคเล็กๆลง หมั่นพาวิ่งออกกำลังกาย
ทานหญ้าให้เป็นอาหารหลักมีน้ำสะอาดให้ดื่มกินอยู่ตลอด
แล้วเขาจะอยู่กับเราได้นานเกิน 75 ปี(อายุคน 75 เทียบอายุกระต่าย
10 ปี) เลยคร่า ^_______^
ท้องเสีย
กระต่ายท้องเสีย
ให้กินยาแก้ท้องเสียของเด็กอ่อนได้ ประมาณ 0.5cc ให้กินทุก 3-4 ชม.ค่ะ ควรเอาน้ำอุ่นเช็ดก้นเค้าบ่อยๆ
งดผักให้กินแต่หญ้าไปก่อน แล้วก็อย่าลืมให้น้องเค้ากินเกลือแร่ด้วยนะคะ
เสียน้ำมากๆน้องเค้าชอร์คได้
คำถามนี้ปีเจอตลอด แต่ก็ต้องตอบแบบเดิมว่า พบสัตวแพทย์สิคะ
รออะไรอยู่!!
ให้ตระหนักว่าการท้องเสียของสัตว์ก็เหมือนกับคน เขาเสียชีวิตได้จากการขาดน้ำให้เราจับใบหูของกระต่ายดู
หากหูเย็นนั่นแสดงว่าเขาขาดน้ำในร่างกาย
- การทำให้กระต่ายไม่ขาดน้ำ คือการให้น้ำเกลือผ่านทางเส้นเลือด สัตวแพทย์เป็นคนทำให้ค่ะ
- และเกลือแร่ ถ้าหาเกลือแร่ของกระต่ายไม่ได้ ก็หาเกลือแร่ของเด็ก ทีเป็นรสธรรชาติดั้งเดิมเกลือแร่ ถ้าหาไม่ได้ก็คงต้องเป็นรสอื่นก็ได้ค่ะ ผสมตามที่ซองนั้นบอก ป้อนทุก 1 ชั่วโมง ไม่ควรผสมใส่ขวดน้ำที่เขาดื่มทุกวัน เพราะเขาคงไม่มีอารมณ์ลุกขึ้นไปกินแน่นอน ป้อนเลยค่ะ
- งดอาหารเม็ด ผัก ผลไม้ ของสดทุกชนิด หากเขาทานได้ก็คงมีแต่หญ้าแห้งเท่านั้นที่ควรมีติดกรงไว้ตลอดค่ะ และถ้าทานไม่ได้ล่ะ? Critical Care ของ Oxbow หรือ Rabbit Care ก็ได้ค่ะ เหมาะสำหรับกระต่ายป่วยและกระต่าย ที่พักฟื้นอยู่ ถ้าไม่กินก็ต้องป้อนหรือบังคับ เพราะนั่นคือชีวิตของเขา เขาไม่กินเขาจะเสียชีวิตได้
สำหรับกระต่ายเด็ก โอกาสความโชคดีคือ 50 50 แต่ส่วนใหญ่คือเสียชีวิตเพราะผู้เลี้ยงพาไปพบสัตวแพทย์ช้าเกินไป
ความโชคดีจึงกลายเป็นศูนย์
เจ้าตัวแสบที่บ้านก็เคยผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว
ปีพาไปหาหมอก็ได้รับยามากิน แต่จากภาวะท้องเสียแล้ว สิ่งที่ปีเคยเจอคือ
กระต่ายท้องอืด หนักกว่าท้องเสียอีก!
หมอตอบบ
"ทีแรกว่าจะเขียนเป็นบทความ แต่ใช้เวลานานเกินไป
และก็ได้สอนหนังสือในเรื่องพวกนี้มาหลายปีติดต่อกัน
หมอรุ่นใหม่ก็เริ่มมีความรู้และเข้าใจกันอย่างแตกฉาน
หมอรุ่นเก่าที่สนใจก็เริ่มเข้าใจและปรับความเข้าใจให้ถูกต้องไปก็ไม่น้อย
รวมไปถึงผู้เลี้ยงในสังคมปัจจุบันก็มีความเข้าใจในเรื่องพวกนี้อย่างลึกซึ้งหลายคน
แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องหรือไม่
ดังนั้นจึงเห็นว่า ผู้เลี้ยงจำนวนไม่น้อยที่ยังเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับเรื่องกาให้อาหารกระต่าย ซึ่งทำให้เกิดปัญหาท้องอืดมีแก๊สมาก ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นโคลน เป็นวุ้น ไม่ขับถ่าย ฟันสึกไม่ดี และไม่กินอาหาร อาจจะเป็นเพราะยังมีแหล่งข้อมูลที่ผิดพลาดทั้งจากหมอที่ยังไม่เข้าใจและผู้เลี้ยงอื่นๆที่เคยรับข้อมูลที่ผิดพลาด
ใครมีกระต่ายดังข้างต้นนี้ ล้วนเกิดจากอาหารเป็นปัญหาหลัก ซึ่งแนวทางในการแก้ไขปัญหานั้นมีการพัฒนาไปไกลมากและช่วยให้สัตว์มีโอกาสมีชีวิตยืนยาวได้ แต่เพราะความเข้าใจผิดในการตรวจและรักษา ก็จะทำให้กระต่ายยังเสี่ยงต่อการป่วยต่อเนื่องและเสียชีวิตได้
แต่ที่น่าทึ่งมากคือผู้เลี้ยงจำนวนหนึ่งมีความเข้าใจเรื่องอาหารได้อย่างลึกซึ้ง และความเข้าใจดังกล่าว คือ ความเข้าใจเรื่องบทบาทของเยื่อใยอาหาร ซึ่งมีอิทธิพลมหาศาลต่อสุขภาพสัตว์ (ซึ่งคนที่จะเป็นหมอกระต่ายจะต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้อย่างลึกซึ้ง) จะอธิบายโดยสรุปดังนี้
เยื่อใยอาหารที่จำเป็นสำหรับกระต่าย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1.เยื่อใยหรือกากอาหารที่ย่อยได้ จะถูกนำไปหมักที่กระเพาะหมัก คือ เพกติน และเฮมิเซลลูโลส ทำให้เกิดกรดอมิโน กรดไขมัน วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น ดูดซึมนำไปใช้ได้ทันที และสร้างเป็นอึพวงองุ่นหรือเรียกให้ถูกว่าซีโคโทรป จะมีโปรตีนสูงถึง 34% ซึ่งสูงกว่าอาหรเม็ดทุกชนิด และให้คุณค่าทางอาหารสูง ลองนึกดูว่าระหว่างกินอาหารเม็ดกับซีโคโทรปอันไหนจะดีกว่ากัน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากากอาหารชนิดนี้จะดี และนำไปสร้างเป็นอาหาร แต่หากมีมากเกินไป ก็จะทำให้เกิดปัญหาได้
2. เยื่อใยชนิดย่อยไม่ได้ คือ ลิกนิน และเซลลูโลส มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในสัตว์กินพืชทุกชนิด และหากขาดกากอาหารชนิดนี้ก็จะให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพชัดเจน เช่น ลำไส้ไม่ทำงาน ทำให้เกิดท้องอืดมีแก๊สมาก ไม่กินอาหาร ขับถ่ายผิดปกติ มีขนาดไม่เท่ากัน รูปทรงประหลาด ทำให้ถ่ายเป็นโคลนและเหม็นมาก เป็นต้น และหากมีน้อยยังโน้มนำให้เกิดลำไส้อักเสบและท้องเสียระยะสั้นจนไม่ขับถ่ายอีก และเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการสึกของฟัน
อย่างไรก็ตาม หากมีมากก็จะทำให้ขับถ่ายเม็ดใหญ่โตเกินไป รูปทรงอึผิดปกติ แถมยังทำให้กระต่ายแคระแกรน ดังนั้นก็ต้องให้ในระดับที่เหมาะสมเช่นกัน
จะเห็นว่า กากอาหารทั้งสองประเภทมีความสำคัญกันทั้งคู่ อย่าสงใดอย่างหนึ่งจะมากเกินไปก็ไม่ได้ หรือน้อยไปก็ไม่ได้ แล้วเท่าไรจึงจะเหมาะสม ได้อธิบายไว้ในหลายๆกระทู้ และหากเราเชื่อในบทบาทของกากอาหารแล้ว ก็มักจะเห็นผลด้านสุขภาพที่ชัดเจน และเห็นผลของตัวที่กินไม่ถูกต้องตามสุขลักษณะเช่นเดียวกัน
ดังนั้นจึงเห็นว่า ผู้เลี้ยงจำนวนไม่น้อยที่ยังเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับเรื่องกาให้อาหารกระต่าย ซึ่งทำให้เกิดปัญหาท้องอืดมีแก๊สมาก ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นโคลน เป็นวุ้น ไม่ขับถ่าย ฟันสึกไม่ดี และไม่กินอาหาร อาจจะเป็นเพราะยังมีแหล่งข้อมูลที่ผิดพลาดทั้งจากหมอที่ยังไม่เข้าใจและผู้เลี้ยงอื่นๆที่เคยรับข้อมูลที่ผิดพลาด
ใครมีกระต่ายดังข้างต้นนี้ ล้วนเกิดจากอาหารเป็นปัญหาหลัก ซึ่งแนวทางในการแก้ไขปัญหานั้นมีการพัฒนาไปไกลมากและช่วยให้สัตว์มีโอกาสมีชีวิตยืนยาวได้ แต่เพราะความเข้าใจผิดในการตรวจและรักษา ก็จะทำให้กระต่ายยังเสี่ยงต่อการป่วยต่อเนื่องและเสียชีวิตได้
แต่ที่น่าทึ่งมากคือผู้เลี้ยงจำนวนหนึ่งมีความเข้าใจเรื่องอาหารได้อย่างลึกซึ้ง และความเข้าใจดังกล่าว คือ ความเข้าใจเรื่องบทบาทของเยื่อใยอาหาร ซึ่งมีอิทธิพลมหาศาลต่อสุขภาพสัตว์ (ซึ่งคนที่จะเป็นหมอกระต่ายจะต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้อย่างลึกซึ้ง) จะอธิบายโดยสรุปดังนี้
เยื่อใยอาหารที่จำเป็นสำหรับกระต่าย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1.เยื่อใยหรือกากอาหารที่ย่อยได้ จะถูกนำไปหมักที่กระเพาะหมัก คือ เพกติน และเฮมิเซลลูโลส ทำให้เกิดกรดอมิโน กรดไขมัน วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น ดูดซึมนำไปใช้ได้ทันที และสร้างเป็นอึพวงองุ่นหรือเรียกให้ถูกว่าซีโคโทรป จะมีโปรตีนสูงถึง 34% ซึ่งสูงกว่าอาหรเม็ดทุกชนิด และให้คุณค่าทางอาหารสูง ลองนึกดูว่าระหว่างกินอาหารเม็ดกับซีโคโทรปอันไหนจะดีกว่ากัน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากากอาหารชนิดนี้จะดี และนำไปสร้างเป็นอาหาร แต่หากมีมากเกินไป ก็จะทำให้เกิดปัญหาได้
2. เยื่อใยชนิดย่อยไม่ได้ คือ ลิกนิน และเซลลูโลส มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในสัตว์กินพืชทุกชนิด และหากขาดกากอาหารชนิดนี้ก็จะให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพชัดเจน เช่น ลำไส้ไม่ทำงาน ทำให้เกิดท้องอืดมีแก๊สมาก ไม่กินอาหาร ขับถ่ายผิดปกติ มีขนาดไม่เท่ากัน รูปทรงประหลาด ทำให้ถ่ายเป็นโคลนและเหม็นมาก เป็นต้น และหากมีน้อยยังโน้มนำให้เกิดลำไส้อักเสบและท้องเสียระยะสั้นจนไม่ขับถ่ายอีก และเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการสึกของฟัน
อย่างไรก็ตาม หากมีมากก็จะทำให้ขับถ่ายเม็ดใหญ่โตเกินไป รูปทรงอึผิดปกติ แถมยังทำให้กระต่ายแคระแกรน ดังนั้นก็ต้องให้ในระดับที่เหมาะสมเช่นกัน
จะเห็นว่า กากอาหารทั้งสองประเภทมีความสำคัญกันทั้งคู่ อย่าสงใดอย่างหนึ่งจะมากเกินไปก็ไม่ได้ หรือน้อยไปก็ไม่ได้ แล้วเท่าไรจึงจะเหมาะสม ได้อธิบายไว้ในหลายๆกระทู้ และหากเราเชื่อในบทบาทของกากอาหารแล้ว ก็มักจะเห็นผลด้านสุขภาพที่ชัดเจน และเห็นผลของตัวที่กินไม่ถูกต้องตามสุขลักษณะเช่นเดียวกัน
มีหญ้าหลายชนิดที่ให้กากอาหารทั้งสองประเภทพอเหมาะพอดี จึงเป็นที่นิยมในการใช้เลี้ยงม้า กระต่ายสวยงาม โคเนื้อและโคนมเป็นอย่างมาก เช่น ทิโมธี (ยังมีหญ้าอีกหลายชนิด) การหาซื้อหญ้าเกรดคุณภาพสูง เมืองไทยมีโอกาสน้อยมาก ประเทศเอเซียที่เหมาซื้ออยู่เจ้าเดียวเกิน 90% จึงเป็นญี่ปุ่น ประเทศที่มีเงินมาก จะเห็นได้ว่าถ้าของไม่ดีก็คงไม่มีใครแย่งซื้อ ที่สำคัญผลลัพธ์ของสุขภาพต่างกัน หญ้าอื่นๆ เช่น ออชาด หญ้าโอ๊ต อัลฟัลฟ่า เป็นต้น
พอกากอาหาร โดยเฉพาะลิกนินและเซลลูโลสไม่สมดุลหรือไม่เพียงพอแล้วจะเกิดอะไรขึ้น...
จำกันได้ใช่ไหมครับว่า ลิกนินและเซลลูโลสเป็นกากอาหารประเภทไหน...
หากขาดลิกนินและเซลลูโลส โรค 3 กลุ่มนี้ที่เกิดขึ้นแน่นอน ได้แก่
1. ฟันไม่สึกหรือสึกไม่ดี (malocclusion)
2. ลำไส้ไม่ทำงาน เนื่องจากขาดการหลั่งสารโมติลิน (GI hypomotility or stasis)
3. ท้องเสียหรือลำไส้อักเสบจากสมดุลจุลชีพเสีย (dysbiosis)
วินิจฉัยอย่างไร และแบ่งความรุนแรงกันอย่างไร...
(เรื่องนี้สำคัญมาก เนื่องจากผู้เลี้ยงและหมอมักจะไม่เข้าใจกัน และทำให้การแก้ไขเกิดความผิดพลาดได้)
เรื่องนี้จึงต้องขยายความให้เข้าใจกันให้ลึกซึ้ง จะได้ไม่ไปฟังกันมาแบบผิดๆหรือถ่ายทอดในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
มอปัจจุบันเริ่มมีความเข้าใจเรื่องอาหารกันมากขึ้น จึงได้แนะนำผู้เลี้ยงเข้มงวดในเรื่องอาหารมากขึ้น หลายคนก็เริ่มอึดอัดว่ากระต่ายทำไมต้องกินหญ้า กินผักไม่ได้เหรอ ต้องกินเท่าไรถึงจะพอดี และอาหารเม็ดอย่างเดียวไม่พอหรืออย่างไร
ดังข้างต้น จะเห็นว่า ถ้าขาดลิกนินและเซลลูโลสแล้วก็จะเกิดโรค 3 กลุ่มดังกล่าว...
แล้วลิกนินกับเซลลูโลสมันอยู่ในพืชชนิดไหนกัน...
พบมากในหญ้าหรือพืชที่มีอายุมากขึ้น ดังนั้นในผักซึ่งมีอายุน้อยเก็บเกี่ยวเร็วก็จะมีระดับของกากอาหารส่วนนี้น้อย กินได้ แต่กินมากก็จะเสี่ยงมาก จึงต้องกินในสัดส่วนพอดี เป็นต้น แต่รายละเอียดมีมากกว่านั้น
เจ้าของหลายคนบอกว่า ก็เลี้ยงกระต่ายด้วยอาหารเม็ดและผักมาตลอดไม่เห็นเป็นไร... เป็นครับ แต่เจ้าของไม่ทราบ หากตรวจด้วยวิธีการที่แม่นยำเหมาะสม มักจะพบความผิดปกติของโรค 3 กลุ่มดังกล่าวอยู่เสมอ และแตกต่างกันในแต่ละตัว หลายตัวก็อดทนมาหลายปี เป็นอย่างเรื้อรัง โดยที่เจ้าของไม่เคยทราบมาก่อน
อาการอะไรบ้างที่จะเป็นตัวบ่งบอกความผิดปกติ...
1. ทุกครั้งที่กินอาหารจะเริ่มซึมและอยู่นิ่งๆ.. หลายตัวนอน แต่หลายตัวปวดเสียด เหมือนคนที่กินอาหารจุ หรือกากอาหารไม่พอ
2. เม็ดอึมีขนาดไม่เท่ากัน ใหญ่บ้างเล็กบ้าง หรือก็ใหญ่เกินไป เล็กเกินไป รวมทั้งปริมาณไม่ถึง 100 เม็ด (ปกติควร 250 เม็ดขึ้นไป บางตัว 400-500 ได้ครับ)
3. อึมีลักษณะผิดปกติ เช่น เป็นเม็ดวุ้น (กากอาหารชนิดเพกตินมากเกินไป ซึ่งเกิดจากผักหรืออาหารเม็ดมากไม่กินหญ้า) โคลนมีกลิ่นเหม็น มูก
4. น้ำลายไหลมาก น้ำตาไหลมาก สันของขากรรไกรไม่เรียบ แก้มบวม หน้าหัวตาบวม
5. ไม่ค่อยเคี้ยวหญ้า หรือพยายามเคี้ยวพรม สิ่งแปลกปลอม
6. อ้วน
7. ท้องกาง ทั้งที่ไม่ใช่หลังกินอาหาร ส่วนใหญ่จะนั่งขดตัว เคี้ยวฟันมีเสียงดัง ดุร้ายมากขึ้น ไม่ชอบให้แตะต้องตัว
8. หมอตรวจพบ การคลำ การเคาะ การส่องตรวจช่องปาก
เป็นต้น ยังมีอีกเยอะครับแต่อาการที่จะพบได้บ่อยๆคือสิ่งเหล่านี้ ผู้เลี้ยงหรือหมอจะนำไปไตร่ตรองและเพิ่มเติมในการตรวจและระมัดระวังก็จะทำให้กระจ่างมากขึ้น หากกระต่ายมีอาการเหล่านี้แม้แต่น้อย ควรไปปรึกษาหมอในทันที และแก้ไขแต่เนิ่นๆ เป็นอาการที่เกิดจากการขาดลิกนินและเซลลูโลสในหญ้า แต่บางอาการเกิดจากการได้รับเพกตินและแป้งในอาหารมากไป (มีมากในผักและอาหารเม็ด) "
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)